ระบบหมุนเวียนน้ำ ทำงานอย่างไร และช่วยประหยัดน้ำได้จริงไหม

ระบบหมุนเวียนน้ำ ทำงานอย่างไร และช่วยประหยัดน้ำได้จริงไหม

ระบบหมุนเวียนน้ำ (Water Recycling System) คืออะไร

ระบบน้ำหมุนเวียน คือ ระบบที่ออกแบบมาเพื่อดึงน้ำที่เคยผ่านการใช้งานแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยผ่านกระบวนการกรองและบำบัดให้สะอาดเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ใช้รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือใช้ในระบบสุขาภิบาลภายในอาคาร

เป็นระบบที่ช่วยลดการใช้น้ำประปาใหม่ในแต่ละวัน ส่งผลให้สามารถประหยัดค่าน้ำได้ในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการลดภาระต่อระบบบำบัดน้ำเสียของชุมชนหรืออาคารได้ด้วย การทำระบบหมุนเวียนน้ำจึงเป็นหนึ่งในวิธีการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ระบบน้ำหมุนเวียน

หลักการทำงานของระบบหมุนเวียนน้ำ

1.การรวบรวมน้ำ

ในขั้นตอนแรกของการทำระบบน้ำหมุนเวียน จะต้องทำการรวบรวมน้ำที่เคยใช้งานแล้วจากแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำทิ้งจากอ่างล้างหน้า เครื่องซักผ้า หรือน้ำทิ้งจากห้องน้ำ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม น้ำเทา (Grey Water) ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายกว่าน้ำจากโถส้วมหรือน้ำจากห้องครัวที่เป็น น้ำดำ (Black Water) ที่มีระดับการปนเปื้อนสูง

2.การบำบัดน้ำ

เมื่อน้ำถูกส่งมายังระบบบำบัด จะผ่านกระบวนการกรองเพื่อเอาสิ่งสกปรกและสารปนเปื้อน เช่น ตะกอน กลิ่น หรือเชื้อโรค ออกก่อน โดยอาจใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น ถังกรองทราย ระบบกรองคาร์บอน หรือเมมเบรน เพื่อให้น้ำสะอาดอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการนำกลับมาใช้งานใหม่

3.การนำน้ำกลับมาใช้

การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญในยุคปัจจุบัน ระบบน้ำหมุนเวียนจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำ โดยประโยชน์ของระบบหมุนเวียนน้ำ มีดังนี้

  • ลดการใช้น้ำ : ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือระบบประปา ทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดมลพิษทางน้ำ : เพราะต้องผ่านการกรองก่อนปล่อยหรือนำกลับมาใช้ ระบบนี้จึงช่วยลดปริมาณน้ำเสียที่อาจปล่อยออกมาสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
  • เพิ่มความยั่งยืน : เป็นทางสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • ประหยัดค่าค่าใช้จ่าย : เมื่อมีการใช้น้ำอย่างคุ้มค่าและลดการใช้น้ำประปาลงได้ ก็ย่อมช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ทั้งในระดับครัวเรือน อาคาร หรือโรงงานอุตสาหกรรม
ระบบน้ำหมุนเวียนในที่ต่าง ๆ

ระบบน้ำหมุนเวียนใช้ที่ไหนได้บ้าง

ระบบหมุนเวียนน้ำในโรงงาน

โรงงานอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการใช้น้ำในปริมาณมาก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต การติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำในโรงงานจึงช่วยทำให้น้ำที่ผ่านการใช้งานแล้ว สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้งหลังจากผ่านการบำบัดแล้ว ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้น้ำใหม่ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ระบบหมุนเวียนน้ำยังช่วยลดปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกจากโรงงาน หากไม่ได้รับการบำบัดอย่างถูกต้องอาจส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ระบบหมุนเวียนน้ำจึงเป็นทางเลือกที่สอดคล้องกันนโยบายความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ระบบหมุนเวียนน้ำในสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำ เป็นอีกหนึ่งสถานที่มีต้องใช้น้ำปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนน้ำใหม่ทั้งหมดเป็นประจำจึงไม่คุ้มค่าและสิ้นเปลืองทรัพยากร ดังนั้น ระบบหมุนเวียนน้ำ จึงถูกนำมาใช้เพื่อหมุนเวียนน้ำเดิมกลับเข้าสู่ระบบกรอง ฆ่าเชื้อ และปรับคุณภาพ ก่อนจำนำน้ำกลับมาใช้ในสระอีกครั้ง

ระบบนี้ ไม่เพียงช่วยแค่ประหยัดน้ำ แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการน้ำและการดูแลรักษาสระว่ายน้ำด้วย โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก เช่น โรงแรม โรงเรียน หรือศูนย์กีฬา

ระบบหมุนเวียนน้ำในอาคาร

อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม สามารถติดตั้งระบบหมุนเวียนน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำได้โดยการนำน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้ว เช่น น้ำจากฝักบัว อ่างล้างหน้า หรือเครื่องซักผ้า กลับมาบำบัดแล้วนำไปใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการน้ำสะอาด 100% เช่น การรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือระบบชักโครก

อีกทั้งการใช้ระบบหมุนเวียนน้ำในอาคาร ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายรายเดือนสำหรับผู้ที่พักอาศัยหรือผู้ประกอบการได้จำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาคารและช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

ระบบหมุนเวียนน้ำเพื่อการเกษตร

สำหรับภาคเกษตรกรรมมักมีการใช้น้ำในปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำพืชหรือเลี้ยงสัตว์ การนำระบบหมุนเวียนน้ำมาใช้จึงช่วยให้เกษตรสามารถใช้น้ำซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรวบรวมน้ำฝน หรือน้ำทิ้งจากระบบรดน้ำ แล้วนำกลับมาผ่านกระบวนการกรองอย่างเหมาะสมก่อนนำกลับไปใช้งานใหม่ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ระบบน้ำหมุนเวียนก็ยังเหมาะกับพื้นทำการเกษตรที่มีปริมาณน้ำจำกัด เช่น พื้นที่แห้งแล้งหรือพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้งบ่อย ๆ ระบบนี้จะช่วยให้สามารถทำการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และเพิ่มความมั่นคงในการผลิตด้วยนั่นเอง